“พลังงานความร้อนใต้พิภพ” หรือ Geothermal Energy มักถูกพูดถึงในบริบทของโรงไฟฟ้าหรือโรงงานอุตสาหกรรม แต่แท้จริงแล้ว เทคโนโลยีนี้สามารถนำมาปรับใช้ในระดับ “อาคารพักอาศัย” ได้เช่นกัน โดยเฉพาะในรูปแบบของ ระบบทำความเย็นและทำความร้อนด้วย Geothermal Heat Pump (GHP) ซึ่งช่วยลดค่าไฟฟ้าและปล่อยคาร์บอนน้อยลงอย่างมาก
หลักการทำงานของระบบ Geothermal สำหรับที่อยู่อาศัย
ระบบนี้ไม่ได้ขุดลึกจนถึงชั้นหินร้อนเหมือนโรงไฟฟ้า แต่ใช้หลักการ “แลกเปลี่ยนความร้อนกับดิน” (Ground Source Heat Exchange) โดย
- ฝังท่อในดินลึกประมาณ 30–100 เมตร
- น้ำหรือน้ำผสมสารทำความเย็นจะหมุนเวียนในท่อ เพื่อแลกเปลี่ยนอุณหภูมิกับดินที่มีอุณหภูมิคงที่ประมาณ 25–27°C
- ระบบนี้จะช่วยให้เครื่องปรับอากาศทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะไม่ต้องรับภาระจากอุณหภูมิภายนอกที่ร้อนจัด
สรุปง่าย ๆ: ใช้ “อุณหภูมิคงที่ใต้ดิน” มาช่วยลดภาระของแอร์ → ลดค่าไฟได้ 30–50%
ใช้ได้ไหมกับ “คอนโด” หรือ “ทาวน์โฮม”?
คอนโดมิเนียม (Condominium):
- ใช้ได้ในรูปแบบ ระบบรวมศูนย์ (Centralized GHP)
โดยติดตั้งท่อใต้ดินในพื้นที่รอบอาคาร หรือใต้ชั้นจอดรถ แล้วต่อเข้าระบบทำความเย็นส่วนกลาง - เหมาะกับคอนโดระดับกลางถึงพรีเมียม ที่ต้องการลดค่าไฟส่วนกลางและสร้างจุดขาย “Green Living”
- สามารถเชื่อมต่อกับระบบไฟฟ้าสีเขียว (Solar หรือ PPA) เพื่อทำให้ทั้งอาคารเป็น Carbon-Neutral Building ได้
ทาวน์โฮมและบ้านพักอาศัย:
- ใช้ระบบ Geothermal Heat Pump ขนาดเล็ก (Residential GHP) ติดตั้งท่อใต้พื้นบ้านหรือสวนหลังบ้าน
- ให้ผลลัพธ์เทียบเท่าการใช้เครื่องปรับอากาศประสิทธิภาพสูง แต่ประหยัดไฟกว่า 40%
- อายุการใช้งานของระบบสูงกว่า 20 ปี และไม่ต้องบำรุงรักษาบ่อย
ข้อดีที่เจ้าของบ้าน/โครงการจะได้รับ
- ลดค่าไฟระยะยาว: ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นสูงกว่าระบบแอร์ทั่วไป แต่คืนทุนใน 4–7 ปี
- เพิ่มมูลค่าอสังหาฯ: โครงการที่มีระบบพลังงานสะอาดจะขายได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มตลาดพรีเมียม
- ประหยัดพลังงานและเสียงเงียบ: ระบบไม่ต้องใช้คอมเพรสเซอร์ขนาดใหญ่
- ลดคาร์บอนฟุตพรินต์: ช่วยลดการปล่อย CO₂ ของบ้านหรือคอนโดได้มากกว่า 30%
ความท้าทายที่ต้องพิจารณา
- ต้องมีพื้นที่เพียงพอสำหรับฝังท่อใต้ดิน
- ต้องออกแบบตั้งแต่ขั้นตอนก่อสร้าง เพื่อให้ระบบทำงานร่วมกับโครงสร้างอาคารได้ดี
- ค่าเริ่มต้นของระบบยังสูงกว่าปกติ (ประมาณ 1.5–2 เท่าของระบบแอร์ทั่วไป)
แต่เมื่อเทียบกับอายุการใช้งานและการประหยัดไฟ ถือว่าคุ้มค่าในระยะยาว
สรุป
คำตอบคือ “ใช้ได้แน่นอน” — ทั้งคอนโดและทาวน์โฮมสามารถใช้พลังงานความร้อนใต้พิภพได้ หากมีการออกแบบและวางระบบอย่างเหมาะสม
นอกจากช่วยลดค่าไฟฟ้าแล้ว ยังเป็นจุดขายใหม่ของโครงการอสังหาฯ ที่มุ่งสู่แนวคิด Green Building / Net Zero Living
นี่คืออีกหนึ่งก้าวสำคัญของการเปลี่ยนบ้านให้เป็น “พื้นที่ที่อยู่ร่วมกับพลังงานสะอาดอย่างยั่งยืน”





