พลังงานความร้อนใต้พิภพ (Geothermal Energy) เป็นพลังงานหมุนเวียนที่มีศักยภาพสูงและ “ทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง” ต่างจากพลังงานแสงอาทิตย์หรือพลังงานลมที่ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ
นอกจากจะช่วยลดต้นทุนพลังงานแล้ว ยังช่วยลดการปล่อยคาร์บอนฟุตพรินต์และสร้างแต้ม ESG ให้กับองค์กรอีกด้วย
แล้วธุรกิจแบบไหนที่ ลงทุนแล้วคุ้มจริง กับพลังงานใต้พิภพ?
หลักคิดเรื่อง “คุ้มค่า” ของพลังงานใต้พิภพ
การลงทุนในพลังงาน Geothermal จะคุ้มค่าที่สุดกับธุรกิจที่มีคุณสมบัติดังนี้
- ใช้พลังงานต่อเนื่องตลอดวัน (Base Load)
- ต้องการความร้อนหรือความเย็นในปริมาณมาก
- มีพื้นที่สำหรับติดตั้งระบบใต้ดินหรือระบบแลกเปลี่ยนความร้อน
- มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero หรือ Carbon-Neutral
ธุรกิจที่ “คุ้ม” กับพลังงานความร้อนใต้พิภพ
1. โรงงานอุตสาหกรรม (Manufacturing & Processing)
โดยเฉพาะโรงงานที่ใช้ไอน้ำหรือความร้อนในกระบวนการผลิต เช่น
- โรงงานอาหารและเครื่องดื่ม
- โรงงานเคมี
- โรงงานกระดาษ สิ่งทอ และยาง
สามารถใช้พลังงานใต้พิภพผลิต ไอน้ำความดันต่ำ-กลาง (Low to Medium Steam) ทดแทนหม้อไอน้ำเชื้อเพลิงฟอสซิล
ช่วยลดต้นทุนพลังงานความร้อน 30–50% และลดคาร์บอนฟุตพรินต์ได้อย่างมีนัยสำคัญ
2. นิคมอุตสาหกรรมและ Smart Industrial Park
พื้นที่ที่มีการรวมโรงงานหลายแห่ง สามารถสร้างระบบ Geothermal District Utility เพื่อผลิตพลังงานร่วมกัน
- ผลิตทั้งไฟฟ้าและไอน้ำใช้ร่วม
- ช่วยลดค่าใช้จ่ายรวมของทุกโรงงาน
โมเดลนี้กำลังเริ่มใช้ใน “Geothermal-based Smart Industrial Park” ที่รวม Utility สะอาดไว้ในจุดเดียว
3. ศูนย์ข้อมูล (Data Center)
หนึ่งในธุรกิจที่เหมาะกับพลังงานความร้อนใต้พิภพมากที่สุดคือ Data Center
เพราะเป็นธุรกิจที่ต้องใช้พลังงานมหาศาลในการทำงานของเซิร์ฟเวอร์และระบบทำความเย็นตลอด 24 ชั่วโมง
ปัญหาหลักของ Data Center คือ “ความร้อน” และ “ความต่อเนื่องของไฟฟ้า”
ซึ่งระบบ Geothermal สามารถตอบโจทย์ได้ครบทั้งสองด้าน
- ความต่อเนื่องของพลังงาน:
ระบบผลิตไฟฟ้าจากความร้อนใต้พิภพสามารถทำงานได้ตลอดเวลา (Base Load) โดยไม่ขึ้นกับสภาพอากาศ
จึงช่วยสร้าง “พลังงานสำรองสะอาด” สำหรับระบบที่ต้องการ uptime 99.999% - ระบบทำความเย็นด้วย Geothermal Cooling:
การใช้ระบบ Geothermal Heat Exchange สามารถช่วยลดอุณหภูมิของอากาศที่ใช้ระบายความร้อนในห้อง Server ได้โดยไม่ต้องพึ่งเครื่องปรับอากาศไฟฟ้าแบบเดิม
ส่งผลให้ลดการใช้พลังงานในส่วน Cooling ได้ถึง 30–40% - ผลลัพธ์ระยะยาว:
Data Center ที่ใช้พลังงานใต้พิภพจะสามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้มหาศาล และตอบโจทย์มาตรฐานสากลอย่าง
Green Data Center / Net Zero Data Infrastructure
ความคุ้มค่าทางการเงิน (ROI)
โดยเฉลี่ย การลงทุนระบบ Geothermal จะมี ระยะเวลาคืนทุน (Payback Period) ประมาณ
- 4–7 ปี สำหรับระบบทำความเย็น/ความร้อน
- 7–10 ปี สำหรับระบบผลิตไฟฟ้าระดับโรงงาน
หลังจากนั้นระบบสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องกว่า 20 ปี โดยมีต้นทุนบำรุงรักษาต่ำมาก
ROI สูงสุดเกิดในธุรกิจที่ใช้พลังงานตลอด 24 ชม. เช่น โรงงาน และนิคมอุตสาหกรรม
ข้อได้เปรียบเชิงกลยุทธ์
นอกจากความคุ้มค่าเรื่องต้นทุนแล้ว พลังงานใต้พิภพยังมอบคุณค่าอื่น ๆ แก่องค์กร เช่น
- ลดคาร์บอนฟุตพรินต์ → ได้สิทธิ์คาร์บอนเครดิต
- ยกระดับภาพลักษณ์ ESG / Net Zero Brand
- เพิ่มโอกาสทางธุรกิจในตลาดส่งออก (ตอบโจทย์ CBAM / EU Green Deal)
- สร้างความมั่นคงทางพลังงานในพื้นที่ห่างไกล
สรุป
พลังงานความร้อนใต้พิภพ “คุ้ม” สำหรับธุรกิจที่ใช้พลังงานต่อเนื่องและต้องการลดต้นทุนระยะยาว
ไม่ว่าจะเป็น โรงงานผลิต, นิคมอุตสาหกรรม, ศูนย์ข้อมูล (Data Center)
เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงช่วยประหยัด แต่ยังเป็นการลงทุนใน “พลังงานสะอาดที่ยั่งยืน” ซึ่งตอบโจทย์ทั้งเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมในอนาคต





