ทำไม พลังงานความร้อนใต้พิภพ คือรากฐานที่เติมเต็มพลังงานแสงอาทิตย์และลม

พลังงานสะอาดกำลังกลายเป็นรากฐานสำคัญของโลกยุคใหม่ โดยเฉพาะ พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar) และ พลังงานลม (Wind) ที่เติบโตเร็วที่สุดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แต่ทั้งสองเทคโนโลยีนี้ยังมีข้อจำกัดด้าน “ความไม่เสถียร” ของการผลิตไฟฟ้า ในขณะที่ พลังงานความร้อนใต้พิภพ (Geothermal Energy) กำลังถูกมองว่าเป็นการต่อยอดสำคัญที่ช่วยเติมเต็มช่องว่างนี้

พลังงานแสงอาทิตย์และลม: จุดแข็งและข้อจำกัด

  • แสงอาทิตย์: ต้นทุนแผงโซลาร์ถูกลงมาก และผลิตไฟฟ้าได้ดีในพื้นที่เขตร้อน แต่ไฟฟ้าหยุดผลิตทันทีเมื่อดวงอาทิตย์ตกดินหรือฟ้าครึ้ม
  • ลม: กังหันลมสามารถผลิตไฟฟ้าได้จำนวนมากในพื้นที่ที่มีลมแรง แต่ขึ้นอยู่กับความเร็วและทิศทางลมที่ไม่แน่นอน
  • ข้อจำกัดร่วม: ต้องพึ่งพา Battery Storage และระบบ Grid ที่แข็งแรง เพื่อเก็บและกระจายไฟฟ้าในช่วงที่การผลิตไม่สม่ำเสมอ

ทำไมพลังงานความร้อนใต้พิภพคือรากฐานพลังงานสะอาดที่สำคัญ

หลายคนคุ้นเคยกับ พลังงานแสงอาทิตย์ และ พลังงานลม ว่าเป็นพลังงานสะอาดยอดนิยม แต่ข้อจำกัดที่เลี่ยงไม่ได้คือ ความไม่สม่ำเสมอของการผลิตไฟฟ้า – แสงอาทิตย์ผลิตได้เฉพาะตอนกลางวัน และกังหันลมต้องอาศัยความแรงและทิศทางลมที่เหมาะสม

ในทางตรงกันข้าม พลังงานความร้อนใต้พิภพ (Geothermal Energy) แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เพราะสามารถ ผลิตพลังงานได้ต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง 365 วัน โดยไม่ขึ้นกับสภาพอากาศหรือฤดูกาล นั่นหมายความว่า Geothermal ไม่ได้เป็นเพียง “ส่วนเสริม” แต่ควรเป็น รากฐาน (Backbone) ที่มั่นคงของระบบพลังงานสะอาด

เมื่อมี Geothermal เป็นฐานที่เสถียร เราจึงสามารถนำ พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม มาใช้เป็น “ตัวเสริม” เพิ่มพลังงานสะอาดเข้าสู่ระบบ ทำให้ทั้งระบบมีความสมดุลมากขึ้น ทั้งด้าน ความมั่นคงของไฟฟ้า (Energy Security) และ ความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจในระยะยาว (ROI & Payback Period)

จุดแข็งของ Geothermal ที่ทำให้ต่างจาก Solar และ Wind

  • เสถียรและต่อเนื่อง: ผลิตพลังงานได้ทั้งกลางวันและกลางคืน
  • พลังงานพื้นฐาน (Baseload): เป็นรากฐานที่เชื่อถือได้ ไม่ต้องอาศัยการเก็บพลังงานในแบตเตอรี่ขนาดใหญ่
  • ลดความเสี่ยงจากความผันผวนของ Solar และ Wind: ทำให้ระบบพลังงานสะอาดโดยรวมมีความมั่นคงมากขึ้น

รองรับ Net Zero และ ESG ได้จริง: เพราะให้พลังงานที่ต่อเนื่องและวางแผนได้ในระยะยาว

ตัวอย่างการผสานพลังงานสะอาด (Hybrid Renewable Systems)

  • Solar + Wind + Geothermal: ใช้ Solar และ Wind ในการผลิตไฟฟ้าราคาถูกช่วงที่มีทรัพยากร และใช้ Geothermal เป็น Base Load ตลอด 24 ชั่วโมง
  • Geothermal EV Charging: หากสถานีชาร์จรถไฟฟ้าใช้พลังงานจาก Solar และ Wind ร่วมกับ Geothermal จะทำให้การชาร์จรถ EV เป็น “ไร้คาร์บอนแท้จริง”
  • โรงงานอุตสาหกรรม: Solar ลดค่าไฟช่วงกลางวัน, Wind เสริมพลังงานในบางพื้นที่ และ Geothermal ช่วยสร้างไอน้ำความร้อนเพื่อลดการใช้ฟอสซิล

สรุป

การก้าวสู่ พลังงานหมุนเวียน 100% ต้องอาศัยการผสมผสานพลังงานหลายรูปแบบ พลังงานแสงอาทิตย์และลม คือหัวใจของการเปลี่ยนผ่าน แต่ยังไม่สามารถตอบโจทย์ความเสถียรได้ทั้งหมด ในขณะที่ พลังงานความร้อนใต้พิภพ ทำหน้าที่เป็น “รากฐาน” ที่มั่นคง ทำให้ระบบพลังงานสะอาดมีทั้งความยั่งยืน เสถียร และคุ้มค่าในระยะยาว