Data Center เป็น “หัวใจ” ของเศรษฐกิจดิจิทัล ตั้งแต่ AI ที่ประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP) จนถึงแอปสตรีมมิงหรืออีคอมเมิร์ซ เบื้องหลังความสะดวกสบายเหล่านี้คือเซิร์ฟเวอร์นับแสนเครื่องที่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ส่งผลให้ความต้องการไฟฟ้าของดาต้าเซ็นเตอร์เพิ่มขึ้นรวดเร็วและอาจแซงหน้าความสามารถของโครงข่ายไฟฟ้าในไม่ช้า
ตัวเลขที่สะท้อนการเติบโตแบบก้าวกระโดด
งานวิจัยของ Rhodium Group เผยว่าเพียงแค่ในสหรัฐฯ ความต้องการไฟฟ้าของดาต้าเซ็นเตอร์อาจเพิ่มขึ้น มากกว่า 2 เท่า ภายในปี 2030 เมื่อเทียบกับปี 2022 ซึ่งหมายถึงการใช้ไฟฟ้าเกิน 350 เทราวัตต์‑ชั่วโมงต่อปี ส่วนในภูมิภาคยุโรปและเอเชีย‑แปซิฟิก แนวโน้มก็ใกล้เคียงกัน โดยมีปัจจัยเร่งสำคัญคือการประมวลผล AI รุ่นใหญ่ (Large‑Scale AI) ที่ต้องใช้จีพียูและแอคเซเลอเรเตอร์พลังสูงหลายหมื่นตัวต่อแอปพลิเคชันใหญ่หนึ่งตัว
แม้ว่าประสิทธิภาพต่อวัตต์ของเซิร์ฟเวอร์จะดีขึ้นทุกปี แต่ “ความอยากใช้” งานคอมพิวเตอร์ของโลกเติบโตเร็วกว่า จึงทำให้การประหยัดพลังงานต่อเครื่องถูกทดแทนด้วยจำนวนเครื่องที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอยู่ดี
ทำไมพลังงานสะอาดแบบเดิมถึงไม่พอ?
แสงอาทิตย์และลมเป็นแหล่งพลังงานหมุนเวียนต้นทุนต่ำ ทว่า ไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้เสถียร 24/7 ดาต้าเซ็นเตอร์จึงต้องอาศัยไฟฟ้าจากกริด (Grid) ที่ยังพึ่งพาก๊าซหรือถ่านหิน เมื่อโหลดไฟฟ้าเพิ่มขึ้นในช่วงพีคกก็เกิด “คอขวด” ที่อาจทำให้ค่าไฟพุ่งสูงขึ้น สวนทางกับภารกิจ Net Zero ของบริษัทไอที
Geothermal: คำตอบใหม่ของ Big Tech
บทวิเคราะห์จาก Enterprise News ชี้ว่า Google และ Microsoft กำลังลงทุนหรือทำสัญญาซื้อไฟฟ้าจากโครงการ Geothermal รุ่นใหม่ (Enhanced และ Closed‑Loop Systems) เพื่อป้อนพลังงานให้ศูนย์ข้อมูล AI เหตุผลสำคัญ ได้แก่
จุดเด่น | ผลที่ได้ |
พลังงาน Basel‑Load ไม่ผันผวน | ดาต้าเซ็นเตอร์รับไฟฟ้าเสถียร ทำ SLA ได้ 99.999% |
ลดคาร์บอนแบบ “ตรงจุด” | ไม่ใช่แค่ซื้อใบรับรองรายปี แต่ใช้ไฟฟ้าปลอดคาร์บอนจริงทุกชั่วโมง |
ต้นทุนไฟฟ้าระยะยาวคงที่ | ไม่ผันแปรตามราคาเชื้อเพลิงฟอสซิล |
นักวิเคราะห์ประเมินว่าหากเทคโนโลยี Geothermal สำเร็จในเชิงพาณิชย์ จะทำให้ต้นทุนไฟฟ้าลดลงจนแข่งขันกับแหล่งฟอสซิลได้โดยไม่ต้องมีเงินอุดหนุน
ความท้าทายเชิงโครงสร้าง
- กริดต้องยืดหยุ่นมากขึ้น เพื่อรองรับโหลดไฟฟ้าโตเร็วกว่าปกติ พร้อมย้ายไฟฟ้าระหว่างภูมิภาคได้ตามเวลาที่ดาต้าเซ็นเตอร์ใช้จริง
- ระบบระบายความร้อน เซิร์ฟเวอร์ AI ใช้พลังงานความร้อนมหาศาล จึงต้องเปลี่ยนไปใช้ Liquid Cooling และอาจใช้ความร้อนทิ้งไปทำ District Heating เพื่อลดค่าใช้จ่ายรวม
- การอนุมัติและลงทุนด้าน Geothermal ยังใช้เวลานาน เพราะต้องสำรวจธรณีวิทยาลึกหลายกิโลเมตรและลงทุนขุดเจาะสูง แต่ความเสถียรของผลตอบแทนระยะยาวทำให้หลายบริษัทพร้อมรับความเสี่ยง
บทเรียนสำหรับไทยและภูมิภาค
ประเทศไทยเป็นฮับศูนย์ข้อมูลที่เติบโตเร็วสุดในอาเซียน เพราะมีสายเคเบิลใต้น้ำและตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ได้เปรียบ สิ่งที่ควรเริ่มดำเนินการมีดังนี้
- เร่งพัฒนาโครงข่ายอัจฉริยะ (Smart Grid) เพื่อรับและจ่ายไฟฟ้าให้ศูนย์ข้อมูลได้แบบยืดหยุ่น
- ออกแพ็กเกจ PPA พลังงานหมุนเวียนระยะยาว ให้ผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ล็อกต้นทุนไฟฟ้าสะอาดได้ตั้งแต่เริ่มสร้าง
- สนับสนุนการสำรวจ Geothermal เชิงลึก โดยจับมือกับผู้เชี่ยวชาญและสตาร์ทอัพจากต่างประเทศ เพื่อลดความเสี่ยงด้านต้นทุนสำรวจ
สรุป
การเติบโตของดาต้าเซ็นเตอร์คือสัญลักษณ์ของเศรษฐกิจดิจิทัลที่รุดหน้า แต่ก็เป็น “ผู้บริโภคไฟฟ้ารายใหญ่” ที่ท้าทายระบบพลังงานในเวลาเดียวกัน Geothermal จึงถูกจับตามองว่าอาจเป็นกุญแจสำคัญเพื่อความยั่งยืนขอ