เมื่อพูดถึง “พลังงานสะอาด” หลายคนมักนึกถึง โซลาร์ หรือ ลม แต่ในปัจจุบันประเทศที่ต้องการความมั่นคงทางพลังงานสูง มักมีการพูดถึงพลังงาน “นิวเคลียร์” และ “พลังงานความร้อนใต้พิภพ (Geothermal Energy)” เป็นหัวข้อสำคัญที่ถูกหยิบมาถกเถียงกันว่า แบบไหนดีกว่ากันในระยะยาว?
พลังงานทั้งสองรูปแบบต่างเป็น “พลังงานคาร์บอนต่ำ” ที่มีศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าได้ต่อเนื่อง แต่ก็มีจุดเด่นและข้อจำกัดแตกต่างกัน ซึ่งเราจะมาวิเคราะห์ให้เห็นภาพชัดเจนในมุมของ ประสิทธิภาพ ความปลอดภัย ต้นทุน และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์: พลังงานใหญ่ที่ทรงพลังแต่ท้าทาย
ข้อดี:
- ผลิตไฟฟ้าได้ต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง: ไม่ขึ้นกับสภาพอากาศ
- ปล่อยคาร์บอนต่ำมาก: ถือเป็นหนึ่งในพลังงานสะอาดที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
- ใช้พื้นที่น้อย: ผลิตไฟได้มากในพื้นที่จำกัด เหมาะกับประเทศที่มีพื้นที่จำกัด
ข้อเสีย:
- ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย: หากเกิดอุบัติเหตุ เช่น เชอร์โนบิล หรือฟุกุชิมะ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพมหาศาล
- ต้นทุนก่อสร้างสูงมาก: ต้องใช้เงินลงทุนระดับหลายแสนล้านบาท และใช้เวลาสร้าง 10 ปีขึ้นไป
- ปัญหาของเสียกัมมันตรังสี: ต้องจัดการและเก็บรักษาในระยะยาวหลายร้อยปี
โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ: พลังงานจาก “ใต้ดิน” ที่ยั่งยืนและปลอดภัย
ข้อดี:
- พลังงานสะอาดจากธรรมชาติ: ใช้ความร้อนจากใต้ดินผลิตไฟฟ้าโดยไม่ปล่อยคาร์บอน
- ผลิตไฟได้ต่อเนื่อง 24 ชม. เช่นเดียวกับนิวเคลียร์: ไม่ต้องพึ่งแดดหรือลม
- ปลอดภัยกว่า: ไม่มีของเสียอันตราย ไม่เกิดการรั่วไหลของสารกัมมันตรังสี
- สามารถใช้ประโยชน์จากความร้อน: เช่น ทำความเย็น ทำความร้อน หรือผลิตน้ำร้อนในอาคารอุตสาหกรรม
ข้อจำกัด:
- ขึ้นอยู่กับภูมิประเทศ: ต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีแหล่งความร้อนใต้ดิน ซึ่งหากศักยภาพต่ำเกิน อาจไม่สามารถสร้างโรงไฟฟ้าได้ หรือต้องใช้เงินลงทุนที่สูง
- ต้นทุนสำรวจสูง: ต้องขุดลึกและสำรวจอย่างละเอียดก่อนก่อสร้าง ซึ่งมีต้นทุนการสำรวจค่อนข้างสูง
เปรียบเทียบแบบชัดเจน
| ประเด็น | โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ | โรงไฟฟ้าความร้อนใต้พิภพ |
| ความต่อเนื่องในการผลิตไฟ | สูง (24 ชม.) | สูง (24 ชม.) |
| ต้นทุนก่อสร้างเริ่มต้น | สูงมาก | ปานกลาง |
| ระยะเวลาคืนทุน | 15–25 ปี | 5–10 ปี |
| ความปลอดภัย | เสี่ยงหากเกิดอุบัติเหตุ | ปลอดภัยสูง |
| ของเสียหลังผลิต | กัมมันตรังสี | ไม่มีของเสียอันตราย |
| พื้นที่ติดตั้ง | ใช้น้อย | ต้องอยู่ในพื้นที่มีพลังงานใต้ดิน |
| ผลกระทบสิ่งแวดล้อม | ต่ำ (แต่เสี่ยงสูงเมื่อเกิดเหตุ) | ต่ำมาก |
| เหมาะกับภูมิประเทศไทย | ไม่เหมาะ (ยังขาดความพร้อม) | เหมาะกับบางพื้นที่ |
มุมมองในอนาคต: พลังงานใต้พิภพคือ “พลังงานสะอาดขนาดกลาง” ที่เข้าถึงได้
สำหรับประเทศไทย การสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ยังมีข้อจำกัดทั้งด้านกฎหมาย ความเข้าใจของประชาชน และต้นทุนที่สูงมาก ในขณะที่ พลังงานความร้อนใต้พิภพ สามารถเริ่มต้นได้เร็วกว่า มีความปลอดภัยสูงกว่า และสามารถใช้ในระดับ โรงงาน – นิคมอุตสาหกรรม – อาคารพาณิชย์ ได้จริงในอนาคตอันใกล้
หลายประเทศ เช่น ไอซ์แลนด์ ญี่ปุ่น และอินโดนีเซีย กำลังใช้ Geothermal Energy เป็นพลังงานหลักร่วมกับ Solar และ Wind เพื่อสร้าง “ระบบไฟฟ้าคาร์บอนต่ำแบบ 24 ชั่วโมง”
สรุป
หากพูดในมุมของ “พลังงานแห่งอนาคต” ทั้งนิวเคลียร์และพลังงานใต้พิภพต่างมีบทบาทสำคัญ แต่สำหรับประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พลังงานความร้อนใต้พิภพ (Geothermal) ดูจะเป็นคำตอบที่เหมาะสมกว่าในปัจจุบัน เพราะให้ทั้ง ความต่อเนื่อง ความปลอดภัย และความยั่งยืน โดยไม่ต้องรับความเสี่ยงสูงเหมือนนิวเคลียร์





