ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “Net Zero” กลายเป็นเป้าหมายใหญ่ของประเทศและธุรกิจทั่วโลก ทุกองค์กรจึงต้องเข้าใจให้ชัดว่าคำนี้หมายถึงอะไร และจะวางแผนสู่จุดหมายได้อย่างไร บทความนี้สรุปความหมาย ขอบเขตการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ต้องคำนึงถึง เหตุผลที่ควรลงมือ และแนวทางปฏิบัติแบบเข้าใจง่าย
ความหมายของ Net Zero
Net Zero คือ ภาวะที่ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่องค์กรปล่อยออกเท่ากับปริมาณที่กำจัดหรือดูดกลับ จนเหลือยอดสุทธิเป็นศูนย์ จุดสำคัญคือต้องลดการปล่อยให้ได้มากที่สุดก่อน แล้วจึงชดเชยส่วนที่เหลือด้วยวิธีที่ตรวจสอบได้
Carbon Neutral คล้ายกันแต่เน้นเฉพาะ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) และเปิดโอกาสให้ใช้การชดเชย (offset) เป็นหลักเพื่อหักล้างการปล่อยได้มากกว่า
Climate Positive / Carbon Negative คือการก้าวไปอีกขั้น โดยกำจัดก๊าซเรือนกระจกมากกว่าที่ปล่อย ทำให้เกิดผลเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม
ขอบเขตการปล่อย (Scope)
การคำนวณ Net Zero ต้องครอบคลุม:
Scope 1 การปล่อยตรงจากสินทรัพย์หรือกิจกรรมที่องค์กรควบคุมได้
Scope 2 การปล่อยทางอ้อมจากพลังงานที่ซื้อมา
Scope 3 การปล่อยทางอ้อมอื่น ๆ ตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain)
ตามเกณฑ์ของ SBTi องค์กรที่ประกาศ Net Zero อย่างเป็นทางการ ต้องครอบคลุม Scope 1 และ 2 ทั้งหมด และอย่างน้อย สองในสามของ Scope 3 เพื่อป้องกันการลดการปล่อยในโรงงาน แต่ผลักภาระการปล่อยไปให้ซัพพลายเออร์แทน
เหตุผลที่ Net Zero สำคัญ
Net Zero ไม่ใช่แค่เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม แต่คือ กลยุทธ์รอดและเติบโตของธุรกิจในอนาคต
- ปกป้องโลก: ลดภาวะโลกร้อนและผลกระทบต่อชีวิตมนุษย์
- ได้เปรียบทางธุรกิจ: ลูกค้าและนักลงทุนเลือกองค์กรที่ “เขียวจริง”
- ลดความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ: เตรียมพร้อมรับมือมาตรการคาร์บอน เช่น EU CBAM
- สร้างนวัตกรรมและประหยัดต้นทุน: การปรับปรุงกระบวนการช่วยลดทั้งการปล่อยและค่าใช้จ่าย
โรดแมปสู่ Net Zero แบบอ่านง่าย
- วัดจุดยืนคาร์บอน
เก็บข้อมูลการใช้พลังงาน เชื้อเพลิง การขนส่ง และวัตถุดิบทั้งหมด แล้วคำนวณตามมาตรฐาน GHG Protocol หรือ ISO 14064-1 การตรวจทานโดยบุคคลที่สามจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ
- ตั้งเป้าตามหลักวิทยาศาสตร์
ใช้แนวทาง Science Based Targets initiative (SBTi) กำหนดเป้าระยะสั้น 5-10 ปีและระยะยาวจนถึง 2050 ให้สอดคล้องกับเป้าจำกัดอุณหภูมิโลกไม่เกิน 1.5 °C
- สร้างแผนลดการปล่อย
เริ่มจากปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักร เปลี่ยนเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นไฟฟ้า และใช้ไฟฟ้าจากแหล่งหมุนเวียน เช่น โซลาร์ ลม หรือความร้อนใต้พิภพในอุตสาหกรรมที่ต้องการพลังงานเสถียร 24 ชั่วโมง หากเป็นอุตสาหกรรมหนักอาจต้องพึ่งเทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCUS)
- สร้างระบบติดตามผล
ใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลเก็บข้อมูลแบบเรียลไทม์ เชื่อมโยงรายงานกับเกณฑ์สากลอย่าง TCFD หรือ IFRS S2 และกำหนดราคาคาร์บอนภายในเพื่อนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุน
- ชดเชยส่วนที่เหลือ
เมื่อทำทุกวิถีทางแล้วแต่ยังมีการปล่อยก๊าซหลงเหลือ ให้เลือกซื้อคาร์บอนเครดิตที่ผ่านมาตรฐาน Gold Standard หรือ Verra VCS และให้ความสำคัญกับโครงการที่ดูดกลับคาร์บอนจริง ไม่ใช่แค่เลี่ยงการปล่อย
- สื่อสารและสร้างการมีส่วนร่วม
รายงานความคืบหน้าทุกปี เปิดเวทีให้ซัพพลายเออร์ร่วมลดคาร์บอน และกระตุ้นพนักงานผ่านระบบจูงใจเพื่อสร้างวัฒนธรรมคาร์บอนต่ำทั้งองค์กร
เครื่องมือที่ควรรู้
- GHG Protocol: มาตรฐานสากลที่ใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุดสำหรับการวัดและรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ครอบคลุม Scope 1, Scope 2 และ Scope 3
- ISO 50001: มาตรฐานระบบบริหารจัดการพลังงาน (Energy Management System: EnMS) ที่ช่วยองค์กรเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ลดต้นทุน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
- TCFD: แนวทางของ Task Force on Climate-related Financial Disclosures ที่ใช้เปิดเผยข้อมูลความเสี่ยงและโอกาสทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อสร้างความโปร่งใสต่อผู้ลงทุนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
- Gold Standard: มาตรฐานสากลสำหรับการตรวจสอบและรับรองโครงการคาร์บอนเครดิตและโครงการพัฒนาที่
ยั่งยืน เพื่อให้มั่นใจว่าการชดเชยคาร์บอน (carbon offset) มีคุณภาพสูงและตรวจสอบได้
สรุป
Net Zero คือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้มากที่สุดก่อน แล้วจึงชดเชยส่วนที่เหลือด้วยวิธีที่ตรวจสอบได้จนปริมาณการปล่อยสุทธิเป็นศูนย์ เส้นทางสู่ Net Zero เริ่มจากการวัดและประเมินการปล่อยในทุกขอบเขต กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน วางแผนและลงมือปรับปรุงกระบวนการใช้พลังงานและการผลิตอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมระบบติดตามและรายงานผลที่แม่นยำเพื่อให้การลดคาร์บอนเกิดขึ้นได้จริงและยั่งยืน ทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างความเชื่อมั่นในตลาดโลกได้ในระยะยาวอีกด้วย