น้ำพุร้อนคือ “ประตูสู่พลังงานใต้พื้นโลก” เพราะมันบ่งบอกว่าลึกลงไปยังมีชั้นหินที่ร้อนจัดและน้ำอุณหภูมิสูงสะสมอยู่ ถ้าศักยภาพเพียงพอจะสามารถผลิตไฟฟ้าได้ตลอด 24 ชั่วโมงโดยแทบไม่ปล่อยคาร์บอนเลย
สำรวจและประเมินศักยภาพ
- สำรวจพื้นผิว : วัดอุณหภูมิน้ำ อัตราการไหล และวิเคราะห์แร่ธาตุ
- สำรวจใต้ดิน : ใช้คลื่นไหวสะเทือน/ไฟฟ้าเพื่อตรวจดูโพรงหินและอ่างเก็บน้ำร้อนใต้ดิน
- เจาะหลุมทดสอบ : เพื่อยืนยันอุณหภูมิและแรงดันของน้ำร้อน
ถ้าอุณหภูมิอยู่ราว 70–180 °C และมีน้ำไหลต่อเนื่อง อาจถือว่าพอเหมาะสำหรับโรงไฟฟ้า “ไบนารี” (Binary Cycle) ที่ใช้ความร้อนระดับปานกลางสร้างไอน้ำจากของเหลวจุดเดือดต่ำ แล้วหมุนกังหันไอน้ำเพื่อผลิตไฟฟ้า
ออกแบบระบบผลิตไฟฟ้าแบบ “ไบนารี”
ทำไมต้องระบบไบนารี? น้ำพุร้อนทั่วไปมักไม่ร้อนพอจะสร้างไอน้ำแรงดันสูงเหมือนแหล่งที่มีอุณหภูมิ 200 °C ขึ้นไป ระบบไบนารีจึงใช้ ของเหลวที่เดือดต่ำกว่าน้ำ รับแลกเปลี่ยนความร้อนจากน้ำพุน้ำร้อน/หินร้อนใต้ดินของเหลวจะเดือดกลายเป็นไอ หมุนกังหัน และกลับมาควบแน่นในระบบการทำงานแบบวงจรปิด จึงไม่ปนเปื้อนแหล่งน้ำใต้ดิน
เจาะหลุมผลิต–หลุมฉีดกลับ
- หลุมผลิต (Production Well) : ดึงน้ำร้อนขึ้นสู่ผิวน้ำ
- หลุมฉีดกลับ (Injection Well) : ฉีดน้ำที่เย็นลงกลับสู่ชั้นหิน เพื่อรักษาแรงดันและความยั่งยืนของแหล่งพลังงาน
การหมุนเวียนแบบวงจรปิดช่วยยืดอายุแหล่งน้ำพุร้อนและลดผลกระทบต่อระบบนิเวศ
ก่อสร้างโรงไฟฟ้าและระบบสายส่ง
ตัวโรงไฟฟ้าใช้พื้นที่ไม่มาก ติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากความร้อน โดยใช้สารอินทรีย์เป็นตัวกลาง จากนั้นต่อสายส่งเข้าสู่โครงข่ายไฟฟ้าในพื้นที่ได้เลย
สรุป
น้ำพุร้อนไม่ใช่แค่สถานที่ท่้องเที่ยว แต่คือสัญญาณว่ามีพลังงานใต้ดินรอการดึงขึ้นมาใช้งาน แหล่งน้ำพุร้อนจึงกลายเป็นโรงไฟฟ้าความร้อนใต้พิภพขนาดย่อมที่ผลิตไฟฟ้าได้ตลอดปี ลดคาร์บอน และเพิ่มงานให้กับชุมชน เป็นก้าวเล็ก ๆ ที่ช่วยขับเคลื่อนโลกสู่อนาคตพลังงานสะอาด