พลังงานความร้อนใต้พิภพ กับ โซลาร์เซลล์ ต่างกันอย่างไร?

พลังงานหมุนเวียนทั้งสองแบบนี้ช่วยลดโลกร้อนได้ แต่ลักษณะการผลิตไฟฟ้าไม่เหมือนกันเลย บทความนี้สรุปให้เข้าใจง่ายว่าพลังงานใต้พิภพและโซลาร์เซลล์ต่างกันอย่างไรใน 4 มิติสำคัญ: ความเสถียร ต้นทุน คาร์บอนฟุตพริ้นต์ และการใช้พื้นที่

มิติ พลังงานความร้อนใต้พิภพ โซลาร์เซลล์
แหล่งพลังงาน ความร้อนจากชั้นหินลึก น้ำร้อนหรือไอน้ำใต้พื้นโลก แสงแดดบนพื้นผิวโลก
การจ่ายไฟ ต่อเนื่อง 24 ชม. ไม่ขึ้นกับสภาพอากาศ จ่ายสูงสุดกลางวัน ตกลงเมื่อแดดอ่อน ต้องมีแบตเตอรี่หรือไฟฟ้าสำรองตอนกลางคืน
คาร์บอนฟุตพริ้นต์ ต่ำมาก (≈ ≤ 50 g CO₂/kWh) เพราะใช้ไอน้ำเป็นตัวหมุนกังหัน ต่ำมากเช่นกัน (≈ ≤ 40 g CO₂/kWh) แต่ต้องคำนึงการผลิตแผงและกำจัดเมื่อหมดอายุ
ต้นทุนไฟฟ้าเฉลี่ย สูงในช่วงสำรวจ–เจาะหลุม แต่ต้นทุนดำเนินงานคงที่และแข่งกับโรงไฟฟ้าฟอสซิลได้เมื่อเดินเครื่องยาว ๆ ราคาติดตั้งแผงลดลงต่อเนื่อง อุปกรณ์หาง่ายขึ้น แต่ต้องลงทุนแบตเตอรี่หากต้องการไฟฟ้าตลอดวัน
ใช้พื้นที่ โรงไฟฟ้าขนาด 10 MW ใช้ไม่ถึง 10 ไร่ ฟาร์มโซลาร์ 10 MW ต้องใช้ประมาณ 120–150 ไร่
ศักยภาพพื้นที่ จำกัดเฉพาะเขตรอยเลื่อนหรือพื้นที่น้ำพุร้อน/ชั้นหินร้อน ติดตั้งได้เกือบทุกที่ที่รับแดดเพียงพอ
อายุโครงการ โรงไฟฟ้ามักเดินเครื่อง > 30–40 ปี แผงโซลาร์ใช้งาน 25–30 ปี จากนั้นประสิทธิภาพจะลดลง

เหมาะกับใคร?

พื้นที่ที่มีน้ำพุร้อนหรือศักยภาพใต้พิภพ เช่น ภาคเหนือของไทย ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย: โรงไฟฟ้าความร้อนใต้พิภพให้ไฟฟ้าเสถียรและใช้พื้นที่น้อย

พื้นที่แดดจัด ไม่มีศักยภาพด้านความร้อนใต้ดิน: โซลาร์เซลล์ติดตั้งง่าย ขยายกำลังผลิตได้ตามงบประมาณ และปรับตามสภาพที่ดินได้ยืดหยุ่น

สรุปเลือกอย่างไรดี?

การลงทุนในโรงไฟฟ้าความร้อนใต้พิภพเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพลังงานพื้นฐานที่เสถียรและต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง เนื่องจากเป็นพลังงานหมุนเวียนประเภทเดียวที่สามารถทำงานเป็น “baseload power” ได้ ขณะที่การลงทุนในโซลาร์เซลล์นั้นเหมาะกับพื้นที่ที่มีแสงแดดสม่ำเสมอ และสามารถติดตั้งได้ง่ายและเร็วกว่า แม้จะมีข้อจำกัดเรื่องการผลิตในเวลากลางคืนหรือช่วงเมฆมาก สำหรับนักลงทุน การเลือกจึงขึ้นอยู่กับเป้าหมายระยะยาวและลักษณะโครงการ: หากต้องการพลังงานต่อเนื่องเพื่อลดการพึ่งพาไฟฟ้าจากสายส่งและมีศักยภาพทางธรณีวิทยาในพื้นที่ โรงไฟฟ้าความร้อนใต้พิภพเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าในระยะยาว แม้ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นสูงกว่าโซลาร์เซลล์ ส่วนโซลาร์เซลล์อาจเหมาะกับผู้ที่ต้องการเริ่มโครงการพลังงานสะอาดขนาดเล็ก หรือต้องการลดค่าไฟฟ้าในระยะสั้นและมีข้อจำกัดด้านงบประมาณหรือพื้นที่