อินโดนีเซียได้สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยการเป็นประเทศแรกที่เริ่มผลิตไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen) จากพลังงานความร้อนใต้พิภพ ณ โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพคกาโมจัง (Kamojang Geothermal Power Plant) ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาระบบนิเวศไฮโดรเจนแบบครบวงจรของประเทศ
การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีความร้อนใต้พิภพ
โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพกาโมจังได้ใช้นวัตกรรมในการนำน้ำควบแน่นที่เกิดขึ้นจากกระบวนการผลิตไฟฟ้ามาใช้ในการผลิตไฮโดรเจนสีเขียว ซึ่งเป็นการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่อย่างเต็มประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
โรงผลิตไฮโดรเจนสีเขียวแห่งนี้สามารถผลิตไฮโดรเจนได้ประมาณ 4.3 ตันต่อปี และเป็นส่วนหนึ่งของโครงการใหญ่ที่มีโรงผลิตไฮโดรเจนสีเขียวทั้งหมด 22 แห่งทั่วประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งสามารถผลิตไฮโดรเจนสีเขียวรวมกันได้ถึง 203 ตันต่อปี
การจัดสรรและการใช้งานไฮโดรเจนสีเขียว
ไฮโดรเจนสีเขียวที่ผลิตได้จะถูกจัดสรรการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยแบ่งเป็น 75 ตันสำหรับตอบสนองความต้องการในการดำเนินงาน และอีก 128 ตันสำหรับสนับสนุนการพัฒนาระบบนิเวศยานพาหนะไฮโดรเจน
ไฮโดรเจนสีเขียวที่ผลิตจาก Green Hydrogen Plant แห่งใหม่จะถูกส่งไปยัง Hydrogen Refueling Station (HRS) Senayan ที่เพิ่งเปิดให้บริการ เพื่อใช้ทดลองและให้บริการเติมเชื้อเพลิงยานพาหนะไฮโดรเจนในอินโดนีเซีย ซึ่งไฮโดรเจนที่ผลิตได้มีศักยภาพในการเติมเชื้อเพลิงให้กับยานพาหนะได้ถึง 438 คันต่อปี และช่วยลดการนำเข้าเชื้อเพลิงได้ถึง 1.59 ล้านลิตรต่อปี
ผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงภาคการขนส่ง
การเริ่มต้นผลิตไฮโดรเจนสีเขียวครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสู่ระบบการขนส่งที่สะอาดและยั่งยืนในอินโดนีเซีย โดยไฮโดรเจนสีเขียวจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล
นักวิจัยหลักจากสำนักงานวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (BRIN) ได้ให้การสนับสนุนต่อโครงการนี้ และสนับสนุนให้มีการพัฒนาระบบนิเวศไฮโดรเจนสีเขียวเพิ่มเติม เพื่อตอบสนองความต้องการการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้น
เป้าหมายระยะยาวของอินโดนีเซีย
การเปิดตัวโรงผลิตไฮโดรเจนสีเขียวแห่งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในเส้นทางการบรรลุเป้าหมายอินโดนีเซียที่สะอาดและยั่งยืนภายในปี 2045 โดยสอดคล้องกับแผนการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดของประเทศ
ความสำเร็จในการผลิตไฮโดรเจนสีเขียวจากพลังงานความร้อนใต้พิภพนี้ไม่เพียงแต่ทำให้อินโดนีเซียเป็นผู้นำในภูมิภาคเท่านั้น แต่ยังเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับประเทศอื่นๆ ในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่เพื่อการพัฒนาพลังงานทดแทนอย่างยั่งยืน